เมื่อเทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็ว โลกในที่ทำงาน ก็จำเป็นต้องหมุนเร็วตามไปด้วย สำหรับ HR หรือเจ้าของกิจการที่มีพนักงานกลุ่ม Gen Z และไม่อยากเสียคนเก่ง + คนสำคัญไป นี่คือ 4 เทรนด์การทำงานในปี 2024 ที่ควรนำมาปรับใช้ในปีหน้า
1. เทรนด์การทํางานแบบผสมผสาน (Hybrid Workplaces)
หมายถึง รูปแบบการทํางานที่ผสมผสานระหว่างการทํางานที่บ้านและการทํางานในสํานักงาน โดยพนักงานจะแบ่งเวลาทํางานระหว่างที่บ้านและสํานักงาน ซึ่งจะมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม
สำหรับการทำงานในรูปแบบ Hybrid Workplaces ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทั้งในและต่างประเทศ นับตั้งแต่ภาวะโรคระบาดโควิด-19 รูปแบบการทำงานในลักษณะนี้ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ และนิยมใช้กันมากขึ้นโดยเฉพาะบริษัทสายเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ต้องการพนักงานฝีมือดีจากหลากหลายประเทศ การให้สิทธิ์พนักงานทำงานจากที่บ้าน (Remote work) จึงเป็นสิ่งที่ถูกนำมาเป็นข้อเสนอให้กับกลุ่ม Talent Gen Z ยิ่งในยุคนี้ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Google workspace หรือ Microsoft team ทำให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูล และเครื่องมือที่จำเป็นในการทำงานแบบทางไกลได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการทำงาน หรือ เรียกกันว่า Flexible workplace มากยิ่งขึ้น
ดังนั้นหลายบริษัทจึงมองถึงข้อดีของการทำงานแบบผสมผสาน ที่ช่วยในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการลดต้นทุนมากขึ้นในปีหน้านี้
ข้อดีและความท้าทายของการทํางานแบบผสมผสาน ได้แก่
– ความยืดหยุ่นในการทํางาน
– พนักงานสามารถจัดสรรเวลาทํางานได้อย่างเหมาะสม
– ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทํางานที่สํานักงาน
– พนักงานมีความพึงพอใจและมีความสมดุลในชีวิตมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การทํางานแบบผสมผสานก็มีความท้าทาย ดังนี้:
– การสื่อสารและการทํางานร่วมกันอาจลดลง เมื่อไม่ได้พบหน้ากันทุกวัน
– พนักงานอาจรู้สึกโดดเดี่ยว และขาดการมีส่วนร่วม
– ต้องมีวินัยในตนเองสูงในการทํางานที่บ้าน
– การจัดการและการประเมินผลงานที่ยากขึ้นสําหรับผู้บริหาร
2. เทรนด์การทํางานที่ใช้ AI มากขึ้นในที่ทำงาน (AI-Powered Workplaces)
มีการคาดการการณ์กันว่า ในปี 2024 จะเห็นการเพิ่มขึ้นของการใช้ AI ในงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น งานบริการลูกค้า งานขายสินค้า และการนำ AI ไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ ตัวอย่างของ AI ที่หลายองค์กรเริ่มนำเข้าไปใช้ในที่ทำงาน ได้แก่ Google Bard และ ChatGPT ซึ่งพบว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรทำงานได้ไวขึ้น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจาก Trend การใช้ AI chatbot ที่ถูกนำมาช่วยในเรื่องของการตอบคําถามเบื้องต้นของลูกค้ามากขึ้นแล้ว การนำระบบ automation ต่าง ๆ ที่ช่วยในเรื่องพื้นฐานการทำงานที่ซ้ำ ๆ ก็พบมากขึ้นเช่นกัน
ข้อดีและความท้าทายของการของการใช้ AI ในที่ทำงาน ได้แก่
– ช่วยให้พนักงานมีเวลามากขึ้นในการทํางานที่มีคุณค่ามากกว่า
– ลดความผิดพลาดจากงานที่ซ้ำ ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความท้าทายในการนํา AI มาใช้ ดังนี้
– การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เพื่อให้พร้อมต่อการรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ
– การฝึกอบรมพนักงานให้มีทักษะใหม่ ๆ ที่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ดี
– การจัดการกับผลกระทบต่อตําแหน่งงานบางอย่าง ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นมาใหม่ หรือหายไปเมื่อองค์การใช้ Automation มากขึ้น
3. เทรนด์การทํางานที่เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)
การเรียนรู้ตลอดชีวิต หมายถึง การที่บุคคลมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงชีวิต ไม่จํากัดเฉพาะในระบบการศึกษาปกติ แต่รวมถึงการเรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในการทํางานและการดําเนินชีวิตด้วย สำหรับในปี 2024 เราคาดว่าจะเห็นเทรนด์องค์กรที่เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิตมากขึ้น โดยบริษัทจะลงทุนฝึกอบรมพนักงานให้มีทักษะที่ทันต่อโลกอนาคต เช่น data analytic skills, online communication skills เป็นต้น เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเค้าจะมีทักษะที่จำเป็นในการต่อยอดเพื่อพัฒนาความสำเร็จในอนาคต
ข้อดีของการเน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ได้แก่
– สําหรับพนักงาน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ และความสามารถ ทําให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ก้าวหน้าในอาชีพได้อีกด้วย
– ส่วนประโยชน์ต่อองค์กร คือ การมีบุคลากรที่มีศักยภาพสูงและทันสมัยอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้
สำหรับวิธีส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในที่ทํางาน แนะนำให้ทำดังนี้
– จัดให้มีการฝึกอบรม สัมมนา หรือเวิร์กชอปต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ
– ให้พนักงานได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือทักษะที่จําเป็น
– มอบหมายงานที่ท้าทายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้
– สนับสนุนด้านงบประมาณในการศึกษาต่อ ตลอดจนสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน
4. การเพิ่มความสำคัญของสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน (Employee Well-being)
ความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทํางาน หมายถึง การที่พนักงานมีสุขภาพกายและใจที่ดี มีความสุขในการทํางาน รู้สึกผ่อนคลายและมีพลังในการทํางาน ซึ่งในปี 2024 ถูกคาดว่า บริษัทใหญ่ ๆ จะเพิ่มโครงการและนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานมากยิ่งขึ้น เช่น โปรแกรมการออกกำลังกาย การกินอาหารเพื่อสุขภาพ และการฝึกสอนทักษะเพื่อจัดการความเครียด
ข้อดีของการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ได้แก่
– พนักงานมีขวัญและกําลังใจที่ดีในการทำงาน เพิ่มโอกาสให้งานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
– ลดอัตราการลาออก และสร้างความผูกพันต่อองค์กร
วิธีการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้พนักงาน เช่น จัดสวัสดิการที่ดีและเหมาะสม สร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์กรที่ดี มีนโยบายส่งเสริมความสมดุลระหว่างชีวิตและการทํางาน ให้การฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะ และจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพทั้งกายและใจ
เทคโนโลยีที่สำคัญสำหรับเทรนด์การทํางานในอนาคต
มีเทคโนโลยีมากมายที่จะส่งผลต่อวิธีการทำงานของเราในปี 2024 ต่อไปนี้เป็นเพียงไม่กี่ตัวอย่าง
การประชุมทางวิดีโอ
การทำงานร่วมกันแบบออนไลน์
เครื่องมือสำหรับการจัดการโครงการ
เครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล
เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงตลาดใหม่ ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
การเตรียมตัวสำหรับอนาคตของการทำงาน
เพื่อให้ประสบความสำเร็จในอนาคตของการทำงาน พนักงานจำเป็นต้องพัฒนาทักษะต่อไปนี้:
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
การแก้ปัญหา
การสื่อสาร
การทำงานร่วมกัน
นอกจากนี้ พนักงานยังจำเป็นต้องสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ตลอดเวลา