ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูง การตลาด คือกุญแจสู่ความสำเร็จ “PRICE” Model คือกลยุทธ์ 5 มิติที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นและเติบโตอย่างยั่งยืน มาสำรวจแต่ละมิติ พร้อมตัวอย่างและเคล็ดลับที่นำไปใช้ได้จริง เพื่อพาธุรกิจของคุณไปสู่จุดสูงสุด
P - ผลิตภัณฑ์และบริการ: หัวใจหลักสู่ความสำเร็จ
ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะขายอะไร หรือให้บริการแบบไหน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “ผลิตภัณฑ์และบริการ” ที่จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของธุรกิจคุณ ถ้าสินค้าดี บริการโดนใจ ก็เหมือนมีแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาหาเราเอง
1. คุณค่าที่ลูกค้าสัมผัสได้
ลองคิดดูว่าลูกค้าจะได้อะไรจากสินค้าหรือบริการของคุณบ้าง? อาจจะเป็นความสะดวกสบาย คุณภาพที่เหนือกว่า ราคาที่คุ้มค่า หรือแม้แต่ประสบการณ์ดี ๆ ที่หาจากที่อื่นไม่ได้ สิ่งเหล่านี้แหละ ที่จะเป็น “จุดขาย” ให้ลูกค้าเลือกเรา
2. ความแตกต่างที่โดดเด่น
ในตลาดที่มีคู่แข่งมากมาย การมี “อะไรบางอย่าง” ที่ทำให้เราแตกต่าง จะช่วยให้ลูกค้าจำเราได้แม่นยำ อาจจะเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ฟีเจอร์พิเศษ หรือแม้แต่เรื่องราวเบื้องหลังสินค้า ก็ช่วยสร้างความประทับใจได้
3. เข้าใจความต้องการของลูกค้า
ก่อนจะขายอะไร เราต้องรู้ก่อนว่าลูกค้าต้องการอะไร มีปัญหาอะไร หรือคาดหวังอะไรจากเรา เมื่อเข้าใจแล้ว เราก็สามารถออกแบบสินค้าหรือบริการที่ “ตอบโจทย์” ลูกค้าได้อย่างตรงจุด การใส่ใจในรายละเอียดของสินค้าและบริการ ตั้งแต่คุณภาพ ความคุ้มค่า ไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า จะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนครับ
R - Reach (การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย)
สมัยนี้ มีช่องทางให้สื่อสารกับลูกค้าเยอะแยะไปหมด ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ จะทำการตลาดทั้งที ก็ต้องคิดให้ดีว่าจะไป “เจอ” ลูกค้าตรงไหน ถึงจะโดนใจและตรงจุดที่สุด การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ใช่ จะช่วยให้เราคุยกับลูกค้ารู้เรื่อง แถมยังประหยัดงบอีกด้วย
1. รู้จักลูกค้าให้ดี
ลองสังเกตพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายดูครับ ว่าเขาชอบเล่นโซเชียลอะไร ช่วงเวลาไหนออนไลน์บ่อย ๆ หรือชอบซื้อของผ่านช่องทางไหน พอเรารู้จักเขาดีแล้ว ก็จะวางแผนทำการตลาดได้อย่างแม่นยำ
2. เลือกช่องทางที่ใช่
สมมุติว่าลูกค้าเราชอบเล่น Facebook เราก็อาจจะยิง Ads ไปหาเขา หรือถ้าเขาชอบซื้อของผ่านแอปฯ เราก็จัดโปรโมชั่นเด็ด ๆ ในแอปฯ ไปเลย!
สนใจให้เราทำ Ads ให้ >> คลิก
3. เข้าถึง ตรงจุด โดนใจ
เมื่อเราเข้าใจลูกค้า และเลือกช่องทางสื่อสารที่เหมาะสม การตลาดของเราก็จะ “ปัง” กว่าเดิม เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนไป แถมยังทำให้คนรู้จักแบรนด์ของเรามากขึ้นอีกด้วย สุดท้ายก็จะนำไปสู่ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
I - Image (ภาพลักษณ์): สร้างแบรนด์ให้ติดตาตรึงใจ
เคยไหม ที่เห็นโลโก้บางแบรนด์แล้วจำได้ขึ้นใจ หรืออ่านข้อความแล้วรู้สึกว่า “ใช่เลย นี่แหละแบรนด์ที่ฉันชอบ ” นั่นล่ะ คือ พลังของ “ภาพลักษณ์” ที่ดี
1. โลโก้ที่โดดเด่น
โลโก้ คือ หน้าตาของแบรนด์ ควรออกแบบให้เรียบง่าย แต่จดจำได้ง่าย สีสันและฟอนต์ต้องสื่อถึงตัวตนของแบรนด์ได้ชัดเจน แถมยังต้องมีความทันสมัย ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะอยู่บนเว็บไซต์ ป้ายโฆษณา หรือสินค้าก็ดูดี
2. สไตล์การเขียนที่เป็นเอกลักษณ์
ไม่ว่าจะเขียนคอนเทนต์ โฆษณา หรือตอบแชทลูกค้า ก็ต้องมีสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นแบรนด์เรา ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เป็นกันเอง เหมือนคุยกับเพื่อน สร้างความรู้สึกใกล้ชิดกับลูกค้า
3. บุคลิกของแบรนด์
จะเป็นแบรนด์ที่ดูเป็นมิตร จริงจัง สนุกสนาน หรือมีสไตล์ ก็ต้องชัดเจนและสอดคล้องกับค่านิยมของแบรนด์ เมื่อลูกค้าเข้าใจตัวตนของเรา ก็จะจดจำและเกิดความภักดีในระยะยาว
การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องสวยงาม แต่เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากลูกค้า ทำให้เขาอยากกลับมาหาเราอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
C - Communication (สื่อสารให้โดนใจ)
การสื่อสารที่ดี ก็เหมือนมีสะพานเชื่อมใจระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของพวกเขา และบอกเล่าเรื่องราวของเราได้อย่างตรงใจ
1. รู้จัก เข้าใจ พูดภาษาเดียวกัน
ก่อนจะสื่อสารอะไรออกไป เราต้องรู้จัก “ตัวตน” ของลูกค้าก่อน ว่าเขาเป็นใคร ชอบอะไร ใช้ชีวิตยังไง พอเราเข้าใจเขาแล้ว ก็จะเลือกใช้ภาษาและวิธีการสื่อสารที่ “ใช่” สำหรับเขาได้
2. สื่อสารอย่างมีสไตล์
ทุกอย่างที่เราสื่อสารออกไป ตั้งแต่เนื้อหา รูปภาพ ฟอนต์ ไปจนถึงสีสัน ต้องสะท้อน “บุคลิก” ของแบรนด์เรา ให้ลูกค้าเห็นแล้วรู้สึกว่า “นี่แหละ ใช่เลย!”
3. เปิดใจรับฟัง
การสื่อสารยุคใหม่ ไม่ใช่แค่เราพูดฝ่ายเดียว ลูกค้าก็อยากมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นเหมือนกัน เปิดโอกาสให้เขาถาม ตอบ คอมเมนต์ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว
การสื่อสารที่เข้าใจง่าย ตรงใจลูกค้า และมีเอกลักษณ์ จะช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นและเป็นที่จดจำ
E - Engagement (มีส่วนร่วม สร้างสายสัมพันธ์)
ลูกค้าสมัยนี้ ไม่ได้อยากแค่ฟังเราพูดอย่างเดียวแล้ว เขาอยากมีส่วนร่วม อยากรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์เราด้วย การสื่อสารสองทาง หรือที่เรียกว่า Two-way communication จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับเรามากขึ้น
1. ชวนลูกค้ามาเล่นด้วยกัน
เปิดโอกาสให้ลูกค้าแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ ชวนเขาแชร์คอนเทนต์ของเรา จัดกิจกรรมสนุก ๆ แจกของรางวัล หรือตอบคำถามข้อสงสัยของลูกค้าอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความรู้สึกผูกพันธ์กับแบรนด์
2. ใส่ใจ ทะนุถนอม
ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเขาสำคัญและมีคุณค่าสำหรับเรา เมื่อเขารู้สึกว่าได้รับการดูแลเอาใจใส่จากแบรนด์ ก็จะเกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ซึ่งเป็นบันไดขั้นสำคัญที่จะเปลี่ยนลูกค้าขาจร ให้กลายมาเป็นลูกค้าประจำที่รักและภักดีต่อแบรนด์ของเราในที่สุด
ตัวอย่างการนำ PRICE Model ไปใช้อย่างประสบความสำเร็จ
กรณีศึกษา Price Model ที่ 1: ธุรกิจร้านกาแฟ
หลังจากนำหลักการ PRICE มาประยุกต์ใช้ ร้านกาแฟแห่งนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยมีการปรับปรุงในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. P – Product: พัฒนาสูตรกาแฟใหม่ที่มีรสชาติโดดเด่น ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง ตอบโจทย์รสนิยมของกลุ่มลูกค้าวัยทำงาน
2. R – Reach: เลือกทำเลร้านที่อยู่ใกล้อาคารสำนักงาน ทำการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ เน้นโปรโมชันในช่วงเวลาก่อนเข้างาน
3. I – Image: ออกแบบโลโก้และบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม สื่อถึงความเป็นสากล มีคุณภาพสูง ตอกย้ำแบรนด์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่
4. C – Communication: ใช้ภาษาที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย โพสต์คอนเทนต์น่าสนใจบนสื่อสังคมออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ
5. E – Engagement: จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เปิดรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า และนำมาปรับปรุงอยู่เสมอ
ผลลัพธ์จากการนำ PRICE มาใช้ ทำให้ร้านกาแฟแห่งนี้มียอดขายและฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหนึ่งในร้านกาแฟยอดนิยมของเมือง
สนใจให้ทีมเราช่วยดูแลติดต่อ Line: @deemmi
บทสรุปและข้อคิดจากหลักการ PRICE
หลักการ PRICE เป็นแนวทางการตลาดที่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญในการสร้างกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เริ่มจากการให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และบริการ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ การสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและจดจำได้ง่าย การสื่อสารที่ตรงใจกลุ่มลูกค้า และการสร้างปฏิสัมพันธ์เพื่อรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว
การนำหลักการนี้ไปปรับใช้ ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจธุรกิจของตนเองอย่างถ่องแท้ วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค เพื่อนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม อย่าลืมติดตามและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการตลาดให้ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อยู่เสมอ
สนใจงานกลยุทธ์และ Brand >>> Free consultation
คำถามพิเศษ: หลักการ PRICE ช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้อย่างไร
หลังจากอ่านถึงตรงนี้แล้ว ลองหยิบกระดาษและปากกามาประเมินตนเองกันดูว่า ธุรกิจของคุณได้นำหลักการ PRICE ไปใช้อย่างเต็มที่หรือยัง มีประเด็นใดบ้างที่ยังต้องปรับปรุงเพิ่มเติม
– เริ่มจากพิจารณาผลิตภัณฑ์และบริการของคุณ จุดเด่นและคุณค่าที่มอบให้ลูกค้าชัดเจนแล้วหรือยัง?
– การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่?
– ภาพลักษณ์ของแบรนด์สร้างความน่าเชื่อถือและจดจำได้ง่ายแค่ไหน?
– การสื่อสารของคุณตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากน้อยเพียงใด?
– และสุดท้ายคือการมีปฏิสัมพันธ์และสร้างความผูกพันกับลูกค้า คุณทำได้ดีแล้วหรือยัง?
หากพบประเด็นที่ต้องปรับปรุง อย่ารีรอที่จะนำไปพัฒนาต่อยอด เพราะการตลาดนั้นเป็นเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ให้กำลังใจตัวเองที่พยายามเรียนรู้และนำสิ่งใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้วัดจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการที่เราไม่หยุดนิ่งและมุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วย เชื่อว่าหากคุณทำได้ ธุรกิจจะก้าวหน้าแน่นอน
เครื่องมือที่ช่วยในการวางแผนการตลาดตามหลักการ PRICE
การวางแผนการตลาดตามหลักการ PRICE นั้นจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่อไปนี้เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับนักการตลาด
1. เครื่องมือสำหรับวางแผนการตลาด
– ระบบบริหารจัดการแคมเปญ (Campaign Management System) ช่วยในการวางแผน ควบคุม และประสานงานแคมเปญต่าง ๆ
– เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Behavior Analytics Tools) ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น Zocial Eyes
– เครื่องมือสร้างสรรค์คอนเทนต์ (Content Creation Tools) ช่วยในการผลิตเนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณภาพ เช่น Copy.ai
2. เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ผลลัพธ์
– เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing Analytics Tools) ติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญออนไลน์ เช่น Google Analytic
– ระบบรายงานผลและแดชบอร์ด (Reporting and Dashboard Systems) รวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์ เช่น Google Looker Studio
3. เครื่องมือสำหรับติดตามผลงาน
– ระบบบริหารจัดการโครงการ (Project Management Systems) ช่วยในการมอบหมายงาน ติดตามความคืบหน้า และประสานงาน
– เครื่องมือสำรวจความพึงพอใจลูกค้า (Customer Satisfaction Survey Tools) รวบรวมข้อมูลจากลูกค้าเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์
การเลือกใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้ทีมการตลาดสามารถนำหลักการ PRICE ไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สนใจปรึกษางานพัฒนากลยุทธ์ เพื่อการเข้าสู่โลกออนไลน์ ติดต่อ: info@deemmi.com หรือ Line:@deemmi