เคยคลิกเข้าไปอ่านบทความที่พาดหัวล่อตาล่อใจ แต่เนื้อหาข้างในกลับไม่เป็นอย่างที่คิดไหม? นั่นแหละคือกับดักของ คลิกเบต (Clickbait) หรือพาดหัวยั่วให้คลิก เป็นการใช้พาดหัวเกินความเป็นจริงได้ ดึงดูดให้ผู้คนเข้ามารับชมเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มยอดการเข้าชมและการคลิก
แม้ว่าคลิกเบต (Clickbait) จะช่วยดึงดูดให้คนสนใจคลิกเข้ามารับชมเว็บไซต์ แต่ในอีกมุมของการทำคอนเทนต์ ถือเป็นภัยเงียบในการทำลายคอนเทนต์ SEO จนเว็บไซต์ของคุณถูกจัดว่าเป็นเว็บที่มีคอนเทนต์คุณภาพยอดแย่ได้
รู้เท่าทัน 'คลิกเบต' ตัวล่อที่ดึงดูด แต่ทำลาย SEO!
คลิกเบตคืออะไร?
คลิกเบต (Clickbait) คือ การใช้พาดหัวหรือเนื้อหาที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดให้คนคลิกเข้ามาอ่าน โดยมักจะใช้คำที่กระตุ้นความอยากรู้เกินจริง เช่น 10 เรื่องลับที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน, สุดปัง! วิธีลดน้ำหนักภายใน 3 วัน แต่เมื่อเข้ามาอ่านจริง ๆ เนื้อหาอาจไม่ตรงกับพาดหัว หรือให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือมีเนื้อหาที่ไม่น่าเชื่อถือ
ทำไมคลิกเบตถึงเป็นที่นิยม
เพราะคอนเทนต์คลิกเบตสามารถเพิ่มยอดคลิกและการเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว และหลายเว็บไซต์และเพจโซเชียลมีเดีย มองว่ายอดการเข้าชมที่สูงคือเป้าหมายสำคัญ การทำคอนเทนต์คลิกเบตจึงช่วยให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้ไม่ยาก อีกทั้งยังสร้างรายได้จากโฆษณาได้ดี เพราะยิ่งมีคนคลิกมากก็ยิ่งมีโอกาสเห็นโฆษณามากขึ้น
ผลกระทบระยะสั้นของคลิกเบตที่มีต่อ SEO
สามารถเพิ่มยอดคลิกและการเข้าชมในช่วงแรก แต่จะค่อยๆ ส่งผลเสียตามมา เช่น Bounce Rate สูง เพราะผู้ใช้งานออกจากหน้าทันทีเมื่อเนื้อหาไม่ตรงกับพาดหัว ทำให้เสิร์ชเอนจิน (Search Engines) มองว่าเว็บไซต์มีคุณภาพต่ำ ส่งผลให้อันดับ SEO ลดลงในที่สุด
‘คลิกเบต’ ส่งผลร้ายต่อเว็บไซต์ได้แค่ไหน?
1. อัตราเด้งพุ่งสูง! คลิกเบตทำให้ผู้ใช้ถอยห่าง
เมื่อผู้ใช้คลิกเข้ามาแล้วพบว่าเนื้อหาไม่ตรงกับพาดหัว ผู้ใช้จะออกจากหน้าเว็บทันที ส่งผลให้ Bounce Rate สูงขึ้น ถือเป็นสัญญาณบอกว่าเว็บไซต์มีประสบการณ์ใช้งานไม่ดี และส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO
2. คอนเทนต์คุณภาพต่ำ ส่งผลต่ออันดับค้นหา
เนื้อหาคลิกเบตมักจะทำให้ผู้ใช้สนใจไม่นาน เวลาเฉลี่ยที่ใช้บนหน้าเว็บจึงสั้นลง ทำให้ Google Algorithm มองว่าเนื้อหานั้นไม่มีคุณค่าและปรับอันดับให้ต่ำลงในที่สุด
3. อัตราการคลิกภายในเว็บไซต์ต่ำ บ่งบอกถึงโครงสร้างเว็บที่ไม่ดี
คลิกเบตมักเน้นการดึงดูดให้เข้ามาอ่านเฉพาะหน้าเดียว แต่ไม่มีการสนับสนุนให้คลิกต่อไปยังหน้าอื่นในเว็บ ส่งผลให้อัตราการคลิกภายใน (Internal Click-Through Rate) ต่ำ ซึ่งบ่งชี้ว่าเว็บไซต์อาจมีปัญหาโครงสร้างและมอบประสบการณ์ที่ไม่ดีแก่ผู้ใช้
4. สูญเสียความน่าเชื่อถือ
เมื่อผู้ใช้เจอเนื้อหาที่ไม่สมเหตุผลหรือเกินจริงบ่อย ๆ ผู้ใช้จะเริ่มไม่ไว้วางใจและไม่กลับมาอ่านอีก เพราะรู้สึกสูญเสียความน่าเชื่อถือซึ่งอาจทำให้เว็บสูญเสียฐานผู้ใช้งานไปเรื่อย ๆ
5. ถูก Google ปรับลดอันดับ
ด้วยปัจจัยข้างต้น ส่งผลให้ Google มองว่าเว็บมีคุณภาพต่ำและปรับอันดับให้ลดลง ทำให้เว็บไซต์เสียโอกาสในการเข้าถึงผู้ชมในระยะยาว
ทำไม Google ถึงไม่ชอบ ‘คอนเทนต์คลิกเบต’
เพราะเนื้อหาของคอนเทนต์คลิเบตส่วนใหญ่มักทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้ไม่ดี ใช้พาดหัวล่อให้คนคลิก แต่เนื้อหากลับไม่ตรงกับสิ่งที่กล่าวไว้ ทำให้ผู้ใช้ผิดหวังและออกจากหน้าเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ Bounce Rate สูงขึ้นและเวลาที่ใช้บนหน้าเว็บสั้นลง ทำให้ Google Algorithm มองว่าเป็นเนื้อหาที่ไม่มีคุณค่า
นอกจากนี้ คลิกเบตยังไม่กระตุ้นให้ผู้ใช้คลิกต่อในเว็บ ซึ่งบ่งบอกถึงโครงสร้างที่ไม่ดีและลดความน่าเชื่อถือในสายตาผู้ใช้ ในการจัดอันดับของ Google จะเน้นคอนเทนต์ที่ตรงไปตรงมาและให้ประโยชน์จริง คอนเทนต์คลิกเบตที่ขาดคุณภาพจึงมักถูกจัดอันดับต่ำ
Google ราชาแห่งคอนเทนต์คุณภาพ
Google เน้นการนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพ เพราะต้องการให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและมีประโยชน์ ยิ่งคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ เช่น การให้ข้อมูลที่ละเอียด ตรงประเด็น และมีการอัปเดตอยู่เสมอ
นอกจากนี้ Google ยังพิจารณาความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา และประสบการณ์ใช้งานโดยรวม หากเนื้อหาของคุณมีคุณภาพและตอบโจทย์ผู้ใช้ เว็บไซต์ก็จะมีโอกาสสูงในการปรับอันดับในผลการค้นหาขึ้นเป็นอันดับต้นๆ และสร้างความไว้วางใจในระยะยาวด้วย
อัลกอริทึมของ Google ตรวจจับคอนเทนต์คลิกเบตได้อย่างไร?
- การวิเคราะห์ภาษา: Google ใช้เทคนิค Natural Language Processing (NLP) เพื่อวิเคราะห์ความหมายของเนื้อหา พาดหัว และคำอธิบาย หากพบว่ามีการใช้ภาษาที่เกินจริงหรือไม่สอดคล้องกับเนื้อหาภายใน เนื้อหานั้นอาจถูกตีตราว่าเป็นคลิกเบต
- การเปรียบเทียบกับเนื้อหาอื่น ๆ: Google จะเปรียบเทียบเนื้อหาของคุณกับเนื้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หากพบว่าเนื้อหาของคุณมีลักษณะคล้ายกับคลิกเบตอื่น ๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกจัดอยู่ในหมวดเดียวกัน
- การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้: Google สังเกตพฤติกรรมของผู้ใช้เมื่อเข้ามาในเว็บไซต์ หากผู้ใช้คลิกเข้ามาแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว หรือใช้เวลาน้อยมากบนหน้าเว็บ อาจบ่งบอกว่าเนื้อหาไม่น่าสนใจหรือไม่ตรงกับที่คาดหวัง ซึ่งเป็นสัญญาณของคลิกเบต
จะรู้ได้อย่างไร? เมื่อคลิกเบตกำลังทำลายเว็บไซต์
อันดับการค้นหาลดลง: สัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าเว็บไซต์ของคุณอาจได้รับผลกระทบจากคลิกเบตคือ อันดับการค้นหาลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ปริมาณการเข้าชมลดลง: ผู้ใช้จะไม่กลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณอีกครั้งหลังจากที่เคยถูกหลอกลวงด้วยคลิกเบต
อัตราการเด้งกลับสูง: ผู้ใช้จะคลิกออกจากเว็บไซต์ของคุณอย่างรวดเร็วหลังจากเข้ามา
เวลาที่ใช้บนหน้าเว็บสั้น: ผู้ใช้จะใช้เวลาน้อยมากในการอ่านเนื้อหาของคุณ
อัตราการคลิกภายในเว็บไซต์ต่ำ: ผู้ใช้จะไม่คลิกไปยังหน้าอื่น ๆ ของเว็บไซต์ของคุณ
สร้างคอนเทนต์คุณภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงคลิกเบต!
กำหนดเป้าหมายผู้ชมและสร้างเนื้อหาที่ตรงใจ: รู้จักกลุ่มเป้าหมาย และมีเป้าหมายการนำเสนอที่ชัดเจน เช่น สร้างบล็อกเกี่ยวกับ “สูตรอาหารที่ง่ายและรวดเร็วสำหรับมื้อค่ำในวันทำงาน” แล้วเน้นการนำเสนอสูตรอาหารที่ใช้เวลาไม่นานและมีวัตถุดิบที่เข้าถึงได้ง่าย
เขียนหัวข้อที่น่าสนใจแต่ไม่เกินจริง: เขียนพาดหัวที่มีความดึงดูดความสนใจ และต้องสอดคล้องกับเนื้อหาภายใน หลีกเลี่ยงการใช้คำที่เกินจริงหรือหลอกลวง เพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้สึกผิดหวังเมื่อเข้ามาอ่าน
สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์: เนื้อหาควรให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ช่วยแก้ปัญหา สร้างความบันเทิง หรือเพิ่มความรู้ให้กับผู้ใช้ เพราะการให้ข้อมูลที่มีคุณภาพจะช่วยสร้างความไว้วางใจ
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล: การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและอัปเดตอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพราะข้อมูลที่ผิดพลาดอาจทำให้ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ลดลง
คอนเทนต์คุณภาพคือ กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของ SEO
คอนเทนต์คุณภาพถือเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในการทำ SEO เพราะเนื้อหาที่มีคุณค่าช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและไว้วางใจในกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มการเข้าถึงในผลการค้นหาของ Google และกระตุ้นการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการตลาดและเพิ่มโอกาสในการขาย ฉะนั้นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ ถือเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่คุ้มค่าและส่งผลดีในระยะยาว