บทความนี้อธิบายเกี่ยวกับ Google SGE และผลต่อ SEO ในอนาคต พร้อมแนวทางในการรับมือกับ AI ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการค้นหาและกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล
Google SGE (Zero-Click Search) คืออะไร
Google Search Generative Experience (SGE) คือ รูปแบบใหม่ของการแสดงผลการค้นหาจาก Google ซึ่งใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เรียกว่า Generative AI อย่าง Gemini มาช่วยสรุปข้อมูลสำคัญแบบย่อ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อค้นหา โดยผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์หลาย ๆ เว็บ จึงมีอีกชื่อเรียกของระบบนี้ว่า Zero-Click Search
SGE ถือเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Google ซึ่งขณะนี้เปิดให้ใช้อย่างเป็นทางการเพียงบางประเทศเท่านั้น (ข้อมูล ณ วันที่ 27/2/67) เช่น สหรัฐอเมริกา สำหรับในประเทศไทย หากอยากใช้งาน สามารถเข้าไปทดลองใช้ได้ผ่าน Google Search Labs ที่กำลังจะกล่างถึงในหัวข้อถัดไป
คุณสมบัติหลักของ Google SGE
SGE ใช้ AI ในการสรุปข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับหัวข้อที่ต้องการค้นหา ทำให้ผู้ใช้งานได้รับคำตอบที่ต้องการอย่างรวดเร็ว คล้าย ๆ เล่มหนังสือที่มีบทคัดย่อไว้หน้าแรกของสิ่งที่ต้องการรู้ โดยไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปค้นหาตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ทำให้สะดวกและง่าย รวมถึงช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการค้นหาอีกด้วย
คุณสมบัติหลักบางประการของ SGE ได้แก่
1. สรุปประเด็นสำคัญของเว็บเพจต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว
แทนที่เราจะต้องคลิกเข้าไปดูหลาย ๆ เว็บไซต์ เพื่อเปรียบเทียบและหาคำตอบของสิ่งที่อยากรู้ด้วยตัวเอง ระบบ Google SGE จะทำการดึงข้อมูลที่สำคัญที่สุดและเป็นไฮไลท์ที่ได้จากการประมวลผลของ AI มาแสดงเป็นคำตอบอยู่ด้านบนสุดของหน้า Search Result ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจเนื้อหาหลักของหน้าเว็บได้เกือบจะในทันที
2. สรุปเนื้อหาพร้อมกับเชื่อมโยงผู้ใช้ไปยังบทความหรือคำถามที่เกี่ยวข้อง
นอกจากการสรุปเนื้อหาโดยย่อที่พบในหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ให้แล้ว SGE ยังมีลิงก์อ้างอิงคำตอบให้กับผู้ใช้งาน เพื่อที่จะได้เจาะลึกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการค้นหาเพิ่มเติมอีกได้อีก
3. การให้คำตอบที่ทันต่อสถานการณ์จริง (Dynamic overview)
ผลการค้นหาของ SGE จะปรับเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาที่เกิดขึ้น เช่น เนื้อหาที่นำมาสรุปให้จะถูกเลือกจากช่วงเวลาที่ทันโลกทันเหตุกาณ์ หรือ SGE อาจใช้วิธีให้คำแนะนำลิงก์เพิ่มเติมคำค้นหาของเรา ทำให้เป็นประสบการณ์การค้นหาดีขึ้น เนื่องจากรูปแบบการตอบสนองโดยตรงต่อการค้นหาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
4. ผสมผสานหลายแหล่งข้อมูลเข้าด้วยกัน และแสดงผลได้หลากหลายรูปแบบ
SGE จะดึงข้อมูลไฮไลท์จากหลาย ๆ เว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับมุมมองที่กว้างขวางครอบคลุมเกี่ยวกับหัวข้อที่ต้องการ นอกเหนือจากการพึ่งพาแหล่งข้อมูลเพียงแหล่งเดียว อัลกอริทึมจะดึงข้อมูลที่มีประโยชน์ที่สุดจากทั่วทั้งเว็บ รวมถึงแสดงรูปแบบข้อมูลให้หลากหลาย อาทิ วิดีโอ รูปภาพ ข้อความ เป็นต้น
5. ใช้ประโยชน์จากโมเดลภาษาขนาดใหญ่
SGE ถูกขับเคลื่อนด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large language models หรือ LLM) อย่าง LaMDA ทำให้เพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผลภาษามากยิ่งขึ้น ดังนั้นคำตอบที่ได้จาก SGE จึงดูเป็นธรรมชาติ และมีความสร้างสรรค์คล้ายกับคน
สรุปสั้น ๆ ก็คือ Zero-Click Search ตัวนี้จะทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงคำตอบได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น Google SGE จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการค้นหา และเหมาะสำหรับคนยุคปัจจุบันที่ต้องการความว่องไว
วิธีเปิดใช้งาน Google SGE
สำหรับบางประเทศในตอนนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 27/2/67) Google SGE ยังอยู่ในช่วงทดลองอยู่ ซึ่งหากต้องการใช้งาน SGE ให้เพื่อน ๆ ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. บน Desktop (Google Chrome)
เปิดบราวเซอร์ Chrome แล้วเข้าไปที่ www.google.com จากนั้นที่มุมขวาจะสังเกตเห็นสัญลักษณ์รูปหลอดทดลอง (หากนำเม้าส์ไปชี้จะเขียนว่า Search Labs) ให้คลิกเข้าไป สังเกตการ์ดด้านซ้ายมือจะมีการ์ด SGE ใหกดเปิด “ลองการทดลอง” แล้วคลิกที่ “ลองตัวอย่าง” ระบบจะเปิดใช้งาน SGE ให้ทดลองใช้
2. บน Google App
เปิดแอป Google และลงชื่อเข้าใช้บัญชี Google ให้เรียบร้อย จากนั้นที่มุมซ้ายจะสังเกตเห็นสัญลักษณ์รูปหลอดทดลอง (หากนำเม้าส์ไปชี้จะเขียนว่า Search Labs) ให้คลิกเข้าไป สังเกตการ์ดด้านซ้ายมือจะมีการ์ด SGE ให้กดเปิด “ลองการทดลอง” แล้วคลิกที่ “ลองตัวอย่าง” ระบบจะเปิดใช้งาน SGE ให้ทดลองใช้
ผลกระทบและแนวทางการทำ SEO เมื่อมี Google SGE มีอะไรบ้าง
สำหรับ Search Generative Experience (SGE) ถูกเชื่อว่า จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการค้นหาของคนยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกรวมเร็ว ดังนั้นในฐานะนักการตลาดและคนทำเว็บไซต์ การเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของ Search Engine Optimization (SEO) จึงเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับผลกระทบและแนวทางในการรับมือ มีดังนี้
1. การให้ความสำคัญของ E-A-T จะมีมากขึ้น คือ ความเชี่ยวชาญ (Expertise) การมีเว็บที่น่าเชื่อถือ (Authoritativeness) และ ความน่าไว้วางใจ (Trustworthiness) จะกลายเป็นเรื่องที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญมากขึ้น แนวทางการรับมือเมื่อมี SGE เข้ามา คือ การปรับเนื้อหาบทความต่าง ๆ ให้มีความน่าเชื่อถือ เช่น มีสถิติ หรือแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ รวมถึงมีเนื้อหาที่ละเอียดมากพอ เมื่อเปรียบเทียบกับบทความหัวข้อเดียวกัน หากเว็บไซต์ใดมี E-A-T สูง เนื้อหาของเว็บไซต์นั้นก็น่าจะถูกเลือกมาแสดงบน SGE มากขึ้น
2.ข้อมูลภายในเว็บไซต์ ต้องแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญและคุณวุฒิที่ลึกซึ้งมากขึ้น เช่น การบอกเล่าประสบการณ์ตรงของทีมงานธุรกิจ หรือแม้แต่ภายในบทความที่แสดงที่แหล่งที่มาและประสบการณ์ของผู้เขียน
3. หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลที่ผิด หรือการตั้งใจเขียนบทความที่เน้นใส่ Keywords เพื่อสร้าง SEO มากกว่าที่จะเขียนเพื่อให้ผู้ฟังได้รับประสบการณ์และความรู้อย่างแท้จริง
ดังนั้นเมื่อ SGE เน้นการดึงประเด็นสำคัญออกมา เว็บไซต์ไหนที่ทำเนื้อหาคุณภาพต่ำ แต่เน้นการเล่นแร่แปรธาตุเพื่อทำให้ติดอันดับบน Google Search หรือที่เรียกว่า SEO สายเทา ก็น่าจะมีแนวโน้มลดลง ในขณะเดียวกันเว็บไซต์ไหนที่เน้นการวิเคราะห์และมุมมองที่ไม่เหมือนใคร จะได้รับการดึงมาแสดงใน SGE ได้ดีกว่า
การเพิ่มความสำคัญของเนื้อหา Long-Form ที่เจาะลึก ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญมาก!!!
Google SGE สามารถสกัดข้อมูลสำคัญจากเนื้อหาที่มีรูปแบบเป็น Long-Form ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ดังนั้นการผลิตเนื้อหาที่ถูกต้อง ละเอียด และยาวครอบคลุม หัวข้อนั้น ๆ อย่างเจาะลึกจะยิ่งสำคัญมากขึ้นในยุคของ SGE
สำหรับการลงบทความในเว็บไซต์เพียงย่อหน้าเดียว หรือบทความบล็อกสั้น ๆ ที่ต่ำกว่า 500 คำ จะเริ่มมีโอกาสน้อยลงในการถูกเลือกให้แสดงใน Search Result ดังนั้นธุรกิจที่ลงทุนเวลา ทรัพยากรไปกับการผลิตบทความที่มีเนื้อหาเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ จะมีโอกาสเพิ่มการรับรู้และมองเห็นของผู้ใช้งาน เมื่อ SGE เปิดการใช้งานอย่างเป็นทางการ
สนใจให้ทีมเราช่วยดูแลเรื่อง บทความ SEO สำหรับเว็บไซต์ และ ติดต่อ Line: @deemmi
ดังนั้นผู้ใช้ศึกษาเกี่ยวกับ Google SGE เพื่อเตรียมรับมือกับรูปแบบการค้นหา Zero-Click Search ที่กำลังจะเปิดให้ใช้ในเร็ว ๆ นี้ สนใจปรึกษางานพัฒนากลยุทธ์ เพื่อการเข้าสู่โลกออนไลน์ ติดต่อ: info@deemmi.com หรือ Line:@deemmi